สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเครือสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์

                             ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

 

         

                                           Fourth of July 

                           วันประกาศอิสระภาพของอเมริกา                           

                                                                   ตอนที่ 1

                                                                                                          น.พ. สุวัฒน์ สุวรรณวานิช

 

July 4th วันประกาศอิสระภาพของอเมริกา

  Tax, Tax, Tax ครับ! มันทำให้เกิดประกาศและสงครามอิสระภาพของประเทศอเมริกาทีเดียว  ผมจะเล่าให้ฟัง

วันที่ 4 กรกฎาคมนี่เป็นวันชาติอีกวันหนึ่งของประเทศอเมริกา วันที่ผู้นำของประเทศเมื่อสมัยปี ค.ศ. 1776 คือ 230 ปีที่แล้ว ได้ร่วมใจกันประกาศประเทศของตัว(คือ 13 รัฐแรกของประเทศนี้) ได้รวมตัวกันเป็นประเทศอิสระ โดยได้แยกตัวออกจากประเทศแม่คืออังกฤษที่ปกครองมาแต่ดั้งเดิม

คำประกาศที่แยกจากประเทศอังกฤษนั้น เป็นร่างที่เป็นแม่บทในการร่างรัฐธรรมนูญทางการปกครองของประเทศ คำประกาศอิสระภาพนี้เรียกว่า Declaration of Independence ร่างประกาศนี้เขียนขึ้นโดยการร่วมมือกันของรัฐบุรุษสามคนคือ Thomas Jefferson, Benjamin Franklin & John Adams แล้วให้ผู้ปกครองหรือผู้แทนของสิบสามรัฐเซ็นรับรอง เมื่อเห็นชอบพร้อมกันแล้วในแต่ละคองเกรสของแต่ละColony

เดิมทีเมื่อชาวอังกฤษที่อพยพจากอังกฤษมาตั้งรกรากที่อเมริกาเหนือนี้ ส่วนมากก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค ก็กระจายออกเป็นสิบสามเมืองขึ้น  Colonies โดยมีผู้ปกครอง Governors ประจำทุกเมืองขึ้น นายท่านอาจจะมาจากคนท้องถิ่นนั้นที่รัฐบาลอังกฤษรับรองแต่งตั้งขึ้นมา หรือทางการอังกฤษส่งมานั่งกินเมือง

 ตามเมืองขึ้นพวกนี้ก็มีทหารอังกฤษมาช่วยคุ้มกันจากการโจมตีของชาวอินเดียนแดงที่เข้าข้างกับทหารฝรั่งเศสซึ่งคอยหาโอกาสบุกรุกคุกคามเสมอ โดยอาจจะยึดบ้านเรือนที่ดินส่วนบุคคลเป็นที่ตั้งของกองทหาร

ส่วนทางเหนือขึ้นไปที่เป็นแถบคานาดาเดิมนั้นเป็นพวกชาวฝรั่งเศสมาตั้งถิ่นฐานอยู่ แล้วก็มีทหารฝรั่งเศสมาดูแลคุ้มกันเช่นกัน ทหารฝรั่งเศสนี่มีนโยบายที่อลุ่มอล่วยกับชาวอินเดียนแดงดีอยู่ ไม่ใจร้ายเหมือนพวกทหารอังกฤษ เลยสามารถจูงใจ เพื่อจะใช้เป็นกำลังต่อสู้กับทหารอังกฤษที่อยู่ทางตอนใต้เพื่อเพิ่มดินแดนของตัวเองอยู่เสมอ

เมื่อประเทศอังกฤษมีเรื่องขัดแย้งกันกับประเทศฝรั่งเศสที่ยุโรป ทางทวีปอเมริกาก็คงขัดแย้งเช่นกันทางตอนเหนือก็คานาดา ทางตอนใต้ก็อเมริกาเชื้ออังกฤษแท้ จึงต้องส่งกำลังทหารมาประจำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง แน่นอนการมีทหารประจำก็ต้องมีค่าใช้จ่ายตลอดเวลา เป็นการเพิ่มรายจ่ายให้แก่เมืองแม่ที่อังกฤษ ตอนนั้นพระเจ้าแผ่นดินของอังกฤษคือ King George ที่ 3 ทรงปกครองอยู่ เพื่อลดภาระเรื่องการเงิน โดยให้ชาวอังกฤษที่อยู่ตามเมืองขึ้นของทวีปอเมริกา เป็นคนจ่ายค่าเลี้ยงดูและเงินเดือนแก่ทหารพวกนี้ โดยได้ผลประโยชน์ต่าง ๆ ทางวัตถุดิบอย่างเมืองขึ้น ทางสภาผู้แทนของอังกฤษก็เลยออกกฎหมายภาษี มาเป็นรูปของสแตมป์ เรียกว่า Stamp Act ในปี ค.. 1765 การเก็บภาษีให้คนทางอเมริกาเป็นคนเลี้ยงดู มันก็เหมือนมากินบ้านกู แล้วยังมาเก็บค่าเงินกินเปล่า แต่เป็นในรูปของแสตมป์นี่จะต้องเอาไปติดเกี่ยวกับหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ทุกอย่าง ทะเบียนสมรส ไพ่ (เหมือนแสตมป์ที่ติดอยู่บนหลังเช็คในเมืองไทย) ที่แท้มันก็ไม่หนักหนาเท่าไร แต่มันเป็นการรังแกทางจิตใจ เพราะพวกนี้เป็นชาวอังกฤษแท้ ๆ แต่ไม่มีผู้แทนของตัวเองในสภาตอนออกกฎหมายภาษี เขากลัวว่าเมื่อมีภาษีอันแรกออกมาได้ ภาษีอื่น ๆ ก็คงจะตามมาด้วยอย่างแน่นอน โดยยึดหลักจารีตประเพณีของอังกฤษ ว่าถ้าจะเรียกเก็บภาษีก็ต้องให้ผู้แทนตัวเองที่อยู่ในสภาอังกฤษเป็นเสียงที่จะทักท้วง หรือยอมรับ แต่พวกเขาเองก็ไม่มีผู้แทนที่รับเลือกจากพวกตัว(เพื่อจะให้เป็นไปตามสัญญา Magna Cata จึงได้พากันประท้วงด้วยข้อความ Taxation without representative is tyranny คงต้องแปลว่า การเก็บภาษีโดยไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของผู้แทนของราษฎรเป็นการกดขี่ของทรราช (แต่ของไทย เดี๋ยวนี้ต้องจ่าย Tax เพิ่มขึ้นโดยผ่านผู้แทนที่เป็นขี้ข้าของ Tyranny เสียนี่ โดยประชาชนไม่มีเสียงคัดค้านได้ อาจโดนข้อหาบ่อนทำลายประเทศชาติ)

การประท้วงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงกับไปทำลายบ้านของคนเก็บภาษีของกรมสรรพากร แถมจับตัวมาทายางมาตอย แล้วเอาขนไก่ติดให้ทั้งตัว เมื่อมีการประท้วงกันมาก ๆ การเก็บภาษีโดยติดแสตมป์ก็ถูกยกเลิกไประยะหนึ่ง  แต่ก็ไม่นานนักในปี ค.. 1767 รัฐบาลอังกฤษก็เห็นว่าพวกชาวบ้านนอกที่อยู่ในทวีปอเมริกานี่เป็นพวกไม่มีสกุลดุลชาติ ไม่มีการศึกษา เพราะอยู่กับคนป่านานเกินไปไม่สมควรมีผู้แทนของตัว เพราะเป็นเมืองขึ้น ไม่มีสิทธิที่จะประท้วง เลยประกาศให้เสียภาษีขึ้นมาใหม่ ครานี้ให้เสียภาษีทุกอย่างที่เป็นของ Import ที่จะส่งเข้าไปขายหรือใช้ในอเมริกา แม้กระทั่งใบชา

การประท้วงเกี่ยวกับภาษีครานี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและทวีความรุนแรงขึ้น มีการทุบตีคนเก็บภาษี เผาจวนของผู้ว่าราชการซึ่งเป็นคนของทางการอังกฤษที่เมืองบอสตัน  ทางการเลยให้มีทหารประจำไว้ที่ทำการของราชการ หรือสถานที่ทำการเก็บภาษีอากรคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ประจำ ด้วยทหารอังกฤษแต่งเสื้อดีแดงเลยเรียกว่าพวก เสื้อแดง Red Coat

แล้วความรุนแรงก็เพิ่มขึ้นเรื่อย จนเดือน มีนาคม ปี 1770 มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่า Sons of Liberty ของเมืองบอสตัน เกิดคนองมือขึ้นมาเอาก้อนหิมะขว้างปาใส่ทหารอังกฤษที่เฝ้าตึกที่ทำการภาษีอากร ทหารกลุ่มนั้นเลยเปิดการโต้ตอบโดยการยิงใส่ฝูงชนกลุ่มนั้น ทำเอาตายไปห้าคน เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่า Boston Massacre หรือแปลแบบชุ่ย ๆ แบบผมก็ต้องเรียกว่า ฆ่า ตัด ตอนหมู่ที่เมืองบอสตัน

ตอนนั้นนายเบนจามิน แฟรนกิ้น Benjamin Franklin (คงจะจำได้นะครับ นายคนนี้ที่เป็นนักชักว่าวสายฟ้าแลบที่มีชื่อนั่นแหละ) กำลังประจำอยู่ที่อังกฤษเลยได้ชักจูงใจให้สภาผู้แทนยกเลิกภาษีขาเข้าไปในอเมริกา สภาก็ยินยอมอีก แต่ไม่ยอมยกเลิกภาษีของใบชา เพราะรู้ว่าคนอังกฤษแม้จะอยู่อเมริกาก็ติดการดื่มชากัน โดยเฉพาะตอน Tea time ตอนบ่าย ยังไง ๆ ต้องซื้อใบชากันแหง ๆ

          แม้เหลือเพียงภาษีใบชา คนที่อเมริกาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี คืนหนึ่งมีพวกขบวนการก่อกวนโดยแต่งตัวเป็นอินเดียนแดง บุกขึ้นเรือของอังกฤษที่บันทุกใบชาซึ่งมาจากทางเอเชีย จับเอาหีบห่อที่บรรจุใบชาโยนทิ้งลงน้ำหมด เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่า Boston Tea Party

แน่นอนพวกผู้ดีอังกฤษที่อยู่ในสภาในอังกฤษ พอได้ข่าวก็หมดความอดกลั้นในการกระทำครั้งนี้ของชาวบอสตัน แน่นอนก็เพราะนายใหญ่ในสภาคนหนึ่งเป็นเจ้าของไร่ใบชาที่เกาะซีลอน

เรียกว่าทำลายผลประโยชน์ส่วนตัวกันละ เลยสั่งให้ทหารอังกฤษลุย มีการปิดท่าเรือบอสตันโดยกองทัพเรือ ห้ามเรือเข้าออกจากท่าเรือเท่ากับหยุดการค้าขายกันทั้งหมด ห้ามชาวบ้านเปิดการประชุมจีบน้ำชากันเกินสามคน  แล้วจัดแจงทำการปราบปรามชาวบ้านที่แข็งข้อ ให้ยึดอาวุธปืน โดยการตรวจค้นตามบ้าน มีการจับกุมและคุมขังตามแต่อำเภอใจ

          ในสมัยนั้นทุกบ้านเขามีปืนไว้ โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองออกไป ต่างก็มีปืนไว้หลายกระบอกประจำบ้าน เพื่อป้องกันตัวจากสัตว์ป่าและ อินเดียนแดง อีกพวกที่มีอาชีพทำการล่าสัตว์ป่า เพื่อเอาหนังไปขาย ก็จำเป็นต้องมีปืน เพื่อนการอาชีพของเขา

ชาวบ้านก็มีการต่อต้านโดยได้รวมตัวกันเป็นหมู่ต่อต้าน  เรียกตัวเองว่า Minutemen พวกนี้มีอาวุธครบมือแปลว่าพอได้สัญญาณก็จะมาทันทีพร้อมกับปืนผาหน้าไม้ ตามหมู่บ้านหรือเมืองเล็ก ๆ กลุ่มใหญ่ของพวกนักต่อสู้ เท่าที่ทหารอังกฤษสืบรู้ว่ามีการสะสมอาวุธ และ คลังแสงอย่างมากก็ที่เมือง Concord ห่างออกไปจากเมืองบอสตันชั่วขี่ม้าข้ามคืนเท่านั้น

นายพลทหารอังกฤษ ชื่อว่า General Page เลยสั่งให้เคลื่อนกองทหารไปที่เมืองคอนคอร์ดนี้ เพื่อเข้าทำการยึดอาวุธและจับกุม แต่ข่าวเกิดรั่วเข้าหูนาย Paul Revere ซึ่งเป็นช่างทำเงิน ที่เมืองบอสตั้น เลยต้องรีบขี่ม้าข้ามเมือง ควบม้าทั้งคืนไปบอกข่าวแก่ชาวเมือง Concord ให้รู้ตัว เพื่อเตรียมตัวรับมือทหารอังกฤษ โดยตะโกนไปทั่วเมืองว่า "The British are coming" ด้วยการเป่าร้องบอกข่าวต่อ ๆ กัน ชาวบ้านต่างก็ถืออาวุธไปรอท่ากันที่เชิงสะพานในแทบหมู่บ้าน Lexington

เมื่อชาวบ้านที่มีอาวุธพร้อม เมื่อผจญหน้ากับพวกทหารอังกฤษซึ่งจะขอยึดอาวุธทั้งหมด เลยเกิดการยิงกันขึ้น จนชาวบ้านตายไปแปดคน นี่คือการเริ่มต้นของรบพุ่งเป็นครั้งแรกระหว่างคนอเมริกากับทหารอังกฤษ ณ วันที่ 19  เมษายน ปี 1775 

ข่าวการประทับของชาวคอนคอร์ดกับทหารอังกฤษได้แพร่กระจายไปทุกเมืองขึ้น Colony ทำให้เกิดความรวมตัวรวมใจกันด้วยความเคียดแค้นและความกลัวเพื่อต่อสู้กับทหารอังกฤษ โดยการปลุกใจด้วยคำว่า To arms! We must fight for our freedom! จงลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่ออิสระภาพของเรา

การประท้วงเพิ่มและรามไปทุกแห่งแล้วเหตุการณ์ก็ยิ่งรุนแรง เลยทำให้ชาวบ้านอังกฤษในการปกครองของอังกฤษ แตกแยกเป็นสองพวก พวกหนึ่งต้องการแยกตัวจากอังกฤษ เรียกตัวเองว่า Patriots ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่าคนอเมริกัน กับพวกยังจงรักภักดีกับอังกฤษอยู่ก็เรียกตัวเองว่า Tory

เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เมื่อ King George ที่ 3  หมดความอดกลั้น ในเดือน มีนาคม 1776 เลยส่งกำลังทหารต่างชาติชาวเยอรมันรับจ้างฆ่าคน คือทหาร Hussians ข้ามทวีปเพื่อมาปราบปราม คนอเมริกันที่ต้องการประท้วงต่อประเทศอังกฤษ เรียกตัวเองว่า Patriots ที่ต้องใช้ทหารต่างชาติเพราะทหารอังกฤษที่ประจำคงไม่เหี้ยมโหดพอที่จะฆ่าคนอังกฤษด้วยกัน ส่วนทหารต่างชาติเขาไม่แคร์ เพราะไม่ใช่คนของเขา ฆ่าได้สบายมือดี นั่นหมายความว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ถือว่าพวกนี้เป็นชาวอังกฤษต่อไปแล้ว คือไม่มีทางผ่อนปรนจากทางอังกฤษ นอกจากยอมจำนนหรือถูกฆ่าเท่านั้น ทำให้คนชาวอเมริกันในทุกเมืองขึ้นตื่นตกใจและขุ่นแค้นเคืองมาก ทุกเมืองขึ้นจึงได้ส่งผู้แทนมาที่เมืองฟีลาเดลเฟีย ทั้งหมด 13 เมืองที่มาชุมนุมกัน เรียกว่าชุมนุม Congress เพื่อหาทางโต้ตอบประเทศอังกฤษ แล้วต่างก็ลงสัตยาบันในคำประกาศว่าจะแยกประเทศออกจากอังกฤษ แล้วตั้งตัวเป็นประเทศต่างหาก คำประกาศนั้นคือ Declaration of Independence ในวันที่ July 4th 1776 และให้หาทางต่อสู้กับทหารอังกฤษที่เกรียงไกร อยู่ทุกมุมของโลก อย่างที่เรียกว่า ไม่มีพระอาทิตย์ตกดินในจักรภพอังกฤษ.  นี่แหละครับที่มาของ Independence Day ที่เราจะหยุดหนึ่งวันเพื่อไปดูการจุดดอกไม้ไฟกัน

            

                                                                                                                                  อ่านต่อ ตอนที่ 2   

                 

หมายเหตุ : ลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของบทความนี้ เป็นของผู้เขียนบทความแต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้อ่านที่สนใจจะนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่ info@cualumni.us             

                                                       

                     ABOUT US  |  EVENTS  |  NEWS  |  ALUMNI BOARD  |  WEBBOARD  |  CONTACT US

                          Copyright 2006 Chulalongkorn University Alumni Association of California